ครบเครื่องเรื่องท่องเที่ยว
5 อันดับเรือสำราญที่หรูที่สุด แบบ VIP
ขอต้อนรับผู้โดยสารทุกท่านเข้าสู่...
1. ล่องเรือสำราญ Seven Seas Explorer ของสายเรือ Regent Seven Seas
เรือสำราญที่หรูหราที่สุดในโลก ภายใต้แบรนด์ระดับหรู Regent Seven Seas แบบ Everything is All - Inclusive เปิดตัวในปี 2016 เป็นเรือขนาดกลาง อยู่ที่ 55,254 ตัน จุผู้โดยสารได้ 750 ท่าน งบการก่อสร้าง 15,570 ล้านบาท
*** ที่สุดของความหรูหราในสไตล์ของเรือสำราญ Seven Seas Explorer
1. ภายในเรือสำราญลำนี้มีพื้นที่กว่า 4,262 ตารางเมตร ที่ตกแต่งด้วยหินอ่อนครึ่งหนึ่งเป็นหินคาราร่า จากอิตาลี ซึ่งเป็นหินอ่อนที่ดีที่สุดในโลก โดดเด่นด้วยลวดลายที่สวยงาม หินอ่อนที่มีรายละเอียดที่สวยงามเหล่านี้ จะถูกนำมาใช้ทั่วทั้งเรือ รวมไปถึงอีก 375 ห้องสวีท ภายในห้องน้ำจะมีการตกแต่งด้วยหินอ่อนที่สวยงามเป็นที่สุด
2. บนเรือสุดหรูยังมีแชนเดอเลียร์ที่สวยงามถึง 158 แชนเดอเลียร์ทำมาจากคริสตัล เราจะพบได้ตามร้านอาหาร เลานจ์ พื้นที่สาธารณะ อื่นๆ ยังไม่หมดนะคะ ยังมีอีก 97 แชนเดอเลียร์ ในห้องพักสวีทสุดหรู และ อีก 218 แชนเดอเลียร์ ที่เรียงรายบนทางเดิน ส่องแสงสว่าง ให้บรรยากาศงดงาม และอบอุ่นในยามค่ำคืน
3. เรือลำนี้มีความพิเศษที่ต้องบอกต่อ นั่นก็คือ การบริการที่เหนือความคาดหมาย วัดได้จากจำนวนลูกเรือที่มีทั้งหมด 552 ลูกเรือ ต่อจำนวนผู้โดยสาร 750 ท่าน หมายความว่า อัตราการให้บริการต่อแขกผู้เข้าพักนั้นจะสูงถึง 1 : 1.36 ท่าน ผู้เข้าพักจะได้รับการบริการที่เป็นส่วนตัวสุดๆ ในตลอดทริปการล่องเรือในช่วงวันหยุดพักผ่อน
4. จำนวนพื้นที่ระเบียงทั้งหมดบนเรือ ที่มีมากถึง 4,822 ตารางเมตร เฉลี่ยแล้วต่อห้องสวีทจะมีระเบียงที่กว้างถึง 12 ตารางเมตรเลยทีเดียวค่า เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเรือสำราญก็ว่าได้
5. เรือสำราญ Seven Seas Explorer ทุ่มงบราวๆ 5.2 ล้านบาท ในการตกแต่งห้องสวีทสุดหรูอย่าง Regent Suite หากจะรับประทานอาหาร ต้องอยู่บนจานของแบรนด์ เวอร์ซาเช่ เท่านั้น แม้กระทั่งชุดเครื่องนอนในห้องพัก ที่มีราคาราวๆ 3.1 ล้านบาท
6. ห้องพัก Regent Suite สุดหรูหรา มีพื้นที่กว้างประมาณ 412 ตารางเมตร มีห้องนอนสุดหรูสองห้อง ภายในห้องนั่งเล่นมีเปียโนที่ดีที่สุดอย่าง Steinway Arabesque ดีไซน์โดยนักออกแบบชื่อดังระดับโลกอย่าง Dakota Jack เขายังได้รับรางวัล Red Dot Design Award สาขา Product Design อีกด้วย นอกจากนี้ภายในห้องยังมีบริการสปาฟรี แบบไม่จำกัด ทั้งบริการซาวน่าแบบส่วนตัว ห้องทรีตเม้นท์ และห้องอบไอน้ำ ที่มีวิวสวนพฤกษา มาพร้อมกับทิวทัศน์ของท้องทะเล ที่งดงามจับใจ
7. ห้องอาหาร Compass Rose มาพร้อมกับจานที่มีลวดลายสวยหรูเวอร์ซาเช่ (Versace) แบรนด์ดังระดับโลก คู่กับอาหารรสเลิศ เป็นห้องอาหารหลักที่ใหญ่ที่สุด ให้บริการอาหารคอนติเนนตัลสไตล์ยุโรป บรรยากาศหรูหรา ราวกับอยู่ในพระราชวัง
8. สำหรับท่านที่ชอบดื่มแชมเปญ และไวน์ชั้นดี บนเรือ Seven Seas Explorer มีแชมเปญชั้นเยี่ยมกว่า 2,148 ขวด ไวน์แดงและไวน์ขาวกว่า 5,712 ขวด ที่พร้อมให้บริการ รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ แชมเปญ ไวน์ แชมเปญ ระดับพรีเมียม
9. สำหรับเมนูอาหารสำหรับแขกวีไอพี่ทุกท่าน จะถูกจัดเมนูอาหารอย่างดีเยี่ยม เช่น ล็อบสเตอร์สุดอร่อย ปริมาณกุ้งล็อบสเตอร์ที่จัดไว้ให้แขกต่อวันมีมากถึง 900 กิโลกรัม สำหรับทริป 14 คืน จากร้านอาหารกูร์เมต์ใน Seven Seas Explorer รวมไปถึงห้องอาหารหลักอย่าง Compass Rose and และ La Veranda อีกด้วย
10. นอกจากนี้ยังมีบริการ รูมเซอร์วิสตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับท่านที่ต้องการมีเวลาทานอาหารแบบเป็นส่วนตัว และชมวิวทิวทัศน์จากภายในห้องพักก็ทำได้เช่นกัน
11. แขกทุกท่านจะได้รับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟแบบ VIP สุดๆ ทั้งการบริการที่เหนือระดับ พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ อาทิ รับแพ็คเกจสุดหรู ฟรีโรงแรม 1 คืนก่อนออกเดินทางพร้อม ให้บริการสำหรับผู้เข้าพักใน Concierge Suites หรือสูงกว่า ฟรีรถรับส่ง ฟรีอาหารเช้า ฟรีบริการรับส่งกระเป๋า มีบัทเลอร์ส่วนตัว ได้สิทธิ์รับประทานอาหารมื้อค่ำพร้อมกัปตัน จัดบาร์เครื่องดื่ม และแอลกอฮอล์ตามที่ท่านชอบ ได้สิทธิ์จองโปรแกรมทัวร์ก่อนออกทัวร์
2. บนเรือสุดหรูยังมีแชนเดอเลียร์ที่สวยงามถึง 158 แชนเดอเลียร์ทำมาจากคริสตัล เราจะพบได้ตามร้านอาหาร เลานจ์ พื้นที่สาธารณะ อื่นๆ ยังไม่หมดนะคะ ยังมีอีก 97
3. เรือลำนี้มีความพิเศษที่ต้องบอกต่อ นั่นก็คือ การบริการที่เหนือความคาดหมาย วัดได้จากจำนวนลูกเรือที่มีทั้งหมด 552 ลูกเรือ ต่อจำนวนผู้โดยสาร 750 ท่าน หมายความว่า อัตราการให้บริการต่อแขกผู้เข้าพักนั้นจะสูงถึง 1 : 1.36 ท่าน ผู้เข้าพักจะได้รับการบริการที่เป็นส่วนตัวสุดๆ ในตลอดทริปการล่องเรือในช่วงวันหยุดพักผ่อน
4. จำนวนพื้นที่ระเบียงทั้งหมดบนเรือ ที่มีมากถึง 4,822 ตารางเมตร เฉลี่ยแล้วต่อห้องสวีทจะมีระเบียงที่กว้างถึง 12 ตารางเมตรเลยทีเดียวค่า เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเรือสำราญก็ว่าได้
6. ห้องพัก Regent Suite สุดหรูหรา มีพื้นที่กว้างประมาณ 412 ตารางเมตร มีห้องนอนสุดหรูสองห้อง ภายในห้องนั่งเล่นมีเปียโนที่ดีที่สุดอย่าง Steinway Arabesque ดีไซน์โดยนักออกแบบชื่อดังระดับโลกอย่าง Dakota Jack เขายังได้รับรางวัล Red Dot Design Award สาขา Product Design อีกด้วย นอกจากนี้ภายในห้องยังมีบริการสปาฟรี แบบไม่จำกัด ทั้งบริการซาวน่าแบบส่วนตัว ห้องทรีตเม้นท์ และห้องอบไอน้ำ ที่มีวิวสวนพฤกษา มาพร้อมกับทิวทัศน์ของท้องทะเล ที่งดงามจับใจ
7. ห้องอาหาร Compass Rose มาพร้อมกับจานที่มีลวดลายสวยหรูเวอร์ซาเช่ (Versace) แบรนด์ดังระดับโลก คู่กับอาหารรสเลิศ เป็นห้องอาหารหลักที่ใหญ่ที่สุด ให้บริการอาหารคอนติเนนตัลสไตล์ยุโรป บรรยากาศหรูหรา ราวกับอยู่ในพระราชวัง
8. สำหรับท่านที่ชอบดื่มแชมเปญ และไวน์ชั้นดี บนเรือ Seven Seas Explorer มีแชมเปญชั้นเยี่ยมกว่า 2,148 ขวด ไวน์แดงและไวน์ขาวกว่า 5,712 ขวด ที่พร้อมให้บริการ รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ แชมเปญ ไวน์ แชมเปญ ระดับพรีเมียม
9. สำหรับเมนูอาหารสำหรับแขกวีไอพี่ทุกท่าน จะถูกจัดเมนูอาหารอย่างดีเยี่ยม เช่น ล็อบสเตอร์สุดอร่อย ปริมาณกุ้งล็อบสเตอร์ที่จัดไว้ให้แขกต่อวันมีมากถึง 900 กิโลกรัม สำหรับทริป 14 คืน จากร้านอาหารกูร์เมต์ใน Seven Seas Explorer รวมไปถึงห้องอาหารหลักอย่าง Compass Rose and และ La Veranda อีกด้วย
11. แขกทุกท่านจะได้รับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟแบบ VIP สุดๆ ทั้งการบริการที่เหนือระดับ พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ อาทิ รับแพ็คเกจสุดหรู ฟรีโรงแรม 1 คืนก่อนออกเดินทางพร้อม ให้บริการสำหรับผู้เข้าพักใน Concierge Suites หรือสูงกว่า ฟรีรถรับส่ง ฟรีอาหารเช้า ฟรีบริการรับส่งกระเป๋า มีบัทเลอร์ส่วนตัว ได้สิทธิ์รับประทานอาหารมื้อค่ำพร้อมกัปตัน จัดบาร์เครื่องดื่ม และแอลกอฮอล์ตามที่ท่านชอบ ได้สิทธิ์จองโปรแกรมทัวร์ก่อนออกทัวร์
2. ล่องเรือสำราญ Crystal Serenity ของสายเรือ Crystal Cruises
สัมผัสกับบรรยากาศสุดแสนจะผ่อนคลาย และสบายๆ ไปตลอดทุกทริปการเดินทาง โดยเรือสำราญ Crystal Serenity ของสายเรือ Crystal Cruises จะนำนักเดินทางล่องเรือสำราญทุกท่าน มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามจากทั่วทุกมุมโลก Crystal Serenity เปิดตัวเมื่อปี 2003 มีน้ำหนัก 68,000 ตัน รองรับผู้โดยสารได้ 1,080 คน และมีการปรับปรุงล่าสุดเมื่อปี 2016 งบการก่อสร้าง 12,250 ล้านบาท ($350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จัดเป็นเรือในคลาสสุดหรู ภายในสวยงาม และอลังการ หากเปรียบเสมือนโรงแรมก็ต้องยกให้ระดับ 6 ดาว
*** ที่สุดของความหรูหราในสไตล์ของเรือสำราญ Crystal Serenity
1. เรือสำราญ Crystal Serenity เป็นผลงานการออกแบบของ Robert Tillberg โดยครอบครัว Tillberg ถือเป็นบริษัทการออกแบบเรือชั้นนำของโลก ที่มีชื่อเสียงยาวนานกว่า 30 ปี ผลงานการออกแบบที่โดดเด่นโดยเฉพาะเรือสำราญ อาทิเช่น เช่น Crystal Serenity, Queen Elizabeth 2, Queen Mary 2 รวมไปถึง Four Seasons Ocean Residences
2. เรือสุดหรูลำนี้ มีเส้นทางที่น่าสนใจและหลากหลายมากค่ะ มีเส้นทางล่องเรือรอบโลก นักเดินทางจะรู้สึกถึงการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดและเห็นสถานที่ที่คงความงดงามอันถูกซ่อนอยู่ เช่น แหล่งธรรมชาติ เมืองมรดกโลก ซึ่งเรือบางลำไม่สามารถเข้าไปสัมผัสได้ ทุกท่านสามารถชมคลิปวิดีโอด้านล่าง "World Cruise 2020"
3. ความหรูหราที่มาพร้อมกับ การบริการที่ยอดเยี่ยม บรรยากาศอบอุ่นสำหรับการต้อนรับที่เป็นมิตร ถือเป็นจุดเด่น ที่ทำให้ดึงดูดเหล่านักเดินทางให้กลับมาใช้บริการอีกครั้ง บนเรือสำราญระดับ 6 ดาวลำนี้ ยังมีห้องพักกว่า 85% ที่เป็นห้องพักแบบเป็นส่วนตัว มีระเบียง ยังมีห้อง Penthouse มีความกว้างตั้งแต่ 34- 91.23 ตร.ม มาพร้อมกับ บัทเลอร์ส่วนตัว มีอ่างอาบน้ำจากุซซี่ และมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่
4. บนเรือลำนี้มีห้องอาหารมากมาย มีเมนูที่หลากหลาย และมีอาหารที่ดีที่สุด และใช้วัตถุดิบคุณภาพชั้นเยี่ยม เรือลำนี้มีห้องอาหารหลักที่มีบริการอาหารนานาชาติ และมีไวน์ชั้นดีเยี่ยมคอยเสิร์ฟตลอด เรียกว่า Crystal Dining Room และยังมีห้องอาหารพิเศษชื่อดังอย่าง Silk Road and Sushi Bar ห้องอาหารญี่ปุ่น รสชาติของอาหารถูกปรุงแต่งอย่างพิถีพิถัน โดยฝีมือจากเชฟชื่อดังอย่าง Nobu Matsuhisa
5. เรือลำนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับท่านที่รักการเรียนรู้แบบไม่มีวันสิ้นสุด Crystal Serenity เป็นเรือที่มีจุดเด่น และแตกต่างจากเรือลำอื่น เพราะมีสถาบันการเรียนรู้เกี่ยวกับไอเดียใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ "Creative Learning" พร้อมมีหลักสูตรในสาขาต่างๆจนถึงหลักสูตรการทำภาพยนตร์ดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีห้อง Computer University@Sea เหมาะสำหรับคนที่ชอบเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถเข้ามาใช้บริการอินเตอร์เน็ตฟรีที่นี่ได้ โดยเชื่อมเข้ากับ Microsoft, Mac, iDevices, Android และ Garmin และอื่นๆ อีกมากมาย
6. เรือสำราญ Crystal Serenity เป็นเรือสำราญที่ได้รับรางวัลมากมายจากทั่วโลก เป็นเรือที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน “World’s Best” เรือที่สง่างาม หรูหราและดีที่สุดที่ล่องในคาบมหาสมุทรสำหรับท่านที่ชื่นชอบเรื่องการออกแบบร่วมสมัยสไตล์โมเดิร์น ที่ผสมผสานเข้ากับความคลาสสิกสมัยใหม่ เรือลำนี้จะตอบโจทย์ทุกประสบการณ์ให้ท่านได้ลองมาสัมผัสด้วยตัวเอง
3. ล่องเรือสำราญ Seabourn Encore ของสายเรือ Seabourn Cruises
*** ที่สุดของความหรูหราในสไตล์ของเรือสำราญ Seabourn Encore
1. การออกแบบ เรือสำราญสุดหรู สำหรับ Seabourn Encore ได้รับการออกแบบโดย Adam D. Tihany ซึ่งเป็นนักออกแบบชื่อดังระดับโลก ผลงานการออกแบบที่โดดเด่นของเขามีมากมาย ทั้งในอุตสาหกรรม โรงแรม รีสอร์ท สปา ร้านอาหาร
2. ความโดดเด่น ที่แตกต่างจากเรือสำราญลำอื่น Seabourn Encore เป็นเรือสำราญที่แล่นอยู่ในน่านน้ำมหาสมุทรที่สวยที่สุดในโลก เรียกว่าเป็น "Crown Jewel" หากจะพูดถึงอัญมณีที่สวยสะดุดตาตั้งแต่แรกพบ
3. เรือ Seabourn Encore ถูกเปรียบเสมือน เรือยอร์ชส่วนตัว โดยนักออกแบบ Adam D. Tihany ได้ดีไซน์ให้การออกแบบตัวเรือภายในให้มีความสลับซับซ้อน การออกแบบจะเป็นเส้นโค้งที่มีจุดเชื่อมต่อกับรายละเอียดที่ซับซ้อน การออกแบบจะเป็นเส้นโค้งที่มีจุดเชื่อมต่อกับรายละเอียดที่ซับซ้อนอย่างลงตัว ความโค้งของมุม โดยรอบ และการเล่นแสงสีฟ้า เพิ่มระดับของความหรูหรา เข้ากับบรรยากาศการล่องเรือบนคาบมหาสมุทร สื่อถึงความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทำให้แขกรู้สึกถึงการค้นพบบางสิ่งบางอย่างอันน่าทึ่ง และเชื่อมต่อกับสภาพแวดล้อมรอบๆ ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
4. เรือ Seabourn Encore มี 5 ร้านอาหารพิเศษ ให้เลือก... ร้านอาหารแนะนำยอดนิยม ต้องมาที่ The Grill by Thomas Keller และ Sushi ห้องอาหารใหม่สำหรับแขกวีไอพีของ Seabourn Encore จุดเด่นของที่นี่ก็คือ อาหารเลิศรสระดับมิชลินสตาร์ เมนูอาหารจากเชฟชื่อดัง Thomas Keller อาทิเช่น New York Strip Steak, Lobster Thermidor และ Dover Sole เชฟท่านนี้ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเชฟที่ดีที่สุดในอเมริกา
5. เรือสำราญสุดหรูลำนี้ยังมีมุมส่วนตัว สบายๆ ที่เป็นไฮไลท์อย่าง The Retreat เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการความเงียบสงบ และผ่อนคลาย สามารถมานอนอาบแดด หรือหากชอบความสงบก็จะมีมุมในที่ร่มรองรับ สำหรับท่านใดที่กำลังมองหาสถานที่อ่านหนังสือ และต้องการความเป็นส่วนตัวสูงก็มาได้ที่โซน Seabourn Square เป็นห้องนั่งเล่นที่มีทั้งหนังสือให้อ่าน และคอมพิวเตอร์ ให้นั่งทำงาน พร้อมกับมีกาแฟ และขนมปังอบกรอบให้ทาน
4. ล่องเรือสำราญ Seabourn Ovation ของสายเรือ Seabourn Cruises
เรือสำราญสุดหรูลำใหม่ล่าสุด Seabourn Ovation เรือสำราญน้องใหม่ที่มีความสวยงาม โดดเด่น และเป็นที่น่าจับตามองเป็นที่สุด ได้ฤกษ์เปิดตัวในปี 2018 เป็นเรือขนาดเล็กค่า น้ำหนักอยู่ที่ 40,350 ตัน จุผู้โดยสารได้ 600 ท่าน งบการก่อสร้าง 13,300 ล้านบาท และที่สำคัญ เรือสำราญ Seabourn Ovation นั้น เป็นเรือน้องของ Seabourn Encore ภายในตัวเรือและรูปแบบการดีไซน์เน้นความสวยงาม โดดเด่น ไม่ซ้ำใคร แฝงไปด้วยความพิเศษ และมีชีวิตชีวา น่าตื่นเต้น โดยได้นักออกแบบชื่อดังระดับโลก อย่าง Adam D. Tihany
*** ที่สุดของความหรูหราในสไตล์ของเรือสำราญ Seabourn Ovation
1. เรือสำราญของสายเรือ Seabourn ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของการเดินทางท่องเที่ยวชั้นนำของโลก โดยนิตยสารชื่อดังอย่าง Travel + Leisure and Condé Nast Traveler ที่สำคัญเรือน้องใหม่ล่าสุดอย่าง Seabourn Ovation กำลังเป็นที่จับตามองของเหล่านักเดินทางล่องเรือสำราญ ที่จัดเป็นแขกไฮเอนด์ เน้นความหรูหรา และรักความสบายเป็นที่สุด
2. ห้องสวีทจะมีหลายแบบให้เลือก เช่น Wintergarden Suite กว้าง 101 ตร.ม จะมีห้องอาบแดด พร้อมอ่างอาบน้ำ และเตียงสำหรับนอนเล่นพร้อมชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และห้องสวีทสุดหรู Grand Signature Suite จะมาพร้อมระเบียงที่มีความกว้าง 45 ตร.ม ระเบียงยื่นออกไปทางด้านหน้า เห็นวิวที่สวยงาม ท่านสามารถนอนอาบแดดและรับลมทะเลได้ตลอดทั้งวัน ทั้งหมดนี้จะมีพนักงานคอยดูแลแบบส่วนตัว
3. เรือลำนี้ได้นักออกแบบชื่อดังของโลกอย่าง Adam D. Tihany ผลงานของเขาสื่ออารมณ์และเข้าใจความรู้สึกได้ดีแก่ผู้เข้าพักบนเรือสำราญ รวมทั้งการออกแบบที่เชื่อมโยงระหว่างนวัตกรรมการออกแบบที่ทันสมัยให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม แต่เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน และพิถีพิถัน
4. Seabourn Ovation เป็นเรือสำราญที่แล่นอยู่ในน่านน้ำมหาสมุทรที่สวยที่สุดในโลก เรียกว่าเป็น "Crown jewel" หากจะพูดถึงอัญมณีที่สวยสะดุดตาตั้งแต่แรกพบก็คงต้องยกให้ลำนี้แล้ว
5. เรือ Seabourn Encore มี 5 ร้านอาหารพิเศษ ให้เลือก... ร้านอาหารแนะนำยอดนิยม ต้องมาที่ The Grill by Thomas Keller และ Sushi ห้องอาหารใหม่สำหรับแขกวีไอพีของ Seabourn Encore จุดเด่นของที่นี่ก็คือ อาหารเลิศรสระดับมิชลินสตาร์ เมนูอาหารจากเชฟชื่อดัง Thomas Keller อาทิเช่น New York strip steak, lobster Thermidor และ Dover sole เชฟท่านนี้ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเชฟที่ดีที่สุดในอเมริกา ที่สำคัญห้องอาหาร The Grill สามารถรองรับแขกได้เพียง 80 ที่นั่งเท่านั้น
5. ล่องเรือสำราญ Silver Muse ของสายเรือ Silverseas Cruises
เรือสำราญสุดหรูหรา Silver Muse ของสายเรือ Silverseas Cruises เปิดตัวในปี 2018 ที่ผ่านมานั่นเองค่ะ เรือลำนี้มีน้ำหนักอยู่ที่ 40,700 ตัน และ จุผู้โดยสารได้ 596 คน มีงบการก่อสร้าง 13,300 ล้านบาท เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทาง ของเหล่านักเดินทางระดับไฮเอนด์ เรือลำนี้จะมุ่งหน้าไปยังสถานที่แปลกใหม่ ทั้งผจญภัยไปในเส้นทางธรรมชาติ หรือ จะเป็นท่องในโลกกว้างชมเมือง และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น
*** ที่สุดของความหรูหราในสไตล์ของเรือสำราญ Silver Muse
1. รูปแบบห้องพักเป็นห้องสวีททั้งหมดค่า สำหรับแขก VIP เราขอแนะนำเป็นห้องระดับ Classic Veranda Suite เป็นห้องพักกว้างขวาง เพดานสูง เห็นวิวพระอาทิตย์ตกดินในยามค่ำ มีความกว้าง 35 ตร.ม หรือจะ เลือกพักห้องใหญ่อย่าง Grand Suite มีความกว้างรวมทั้งระเบียง 185 ตร.ม มาพร้อมกับผ้าปูที่นอนระดับพรีเมียม แบรนด์ Pratesi และภายในห้องน้ำถูกปูด้วยหินอ่อน ลวดลายสวยงาม พร้อมบัทเลอร์ส่วนตัว
2. การบริการแบบไร้ที่ติ แขก VIP ของเราจะไม่รู้สึกถึงความโดดเดี่ยว เดียวดายอย่างแน่นอนค่ะ ลองเอนตัวบนเก้าอี้อาบแดด ผ่อนคลายสบายใจ หยิบหนังสือสักเล่มมาอ่านเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น พนักงานจะเข้ามารับคำสั่งเครื่องดื่มทันที รับรองได้เลยว่าแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ จะไม่มีวันเป็นแก้วที่ว่างเปล่าอย่างแน่นอน
3. เพลิดเพลินไปกับสระว่ายน้ำ ที่ตั้งอยู่บนชั้น 10 บนเรือสำราญ เป็นพื้นที่คลายร้อนในระหว่างวันได้อย่างสบาย มาพร้อมกับอ่างน้ำวนทั้งสองแห่งตรงกลางลำเรือ และอ่างที่สามตรงบริเวณท้ายลำเรือ ที่สามารถผ่อนคลายและมองเห็นวิวทะเลได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุดค่ะ นอกจากนี้ยังมีเก้าอี้ไว้สำหรับนอนอาบแดดเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณสระ บนเรือยังมีโซน จ๊อกกิ้ง บนชั้น 11 เหมาะแก่การออกกำลังการในช่วงเช้า และช่วงค่ำเป็นที่สุด
4. สำหรับผู้ที่รักความเป็นส่วนตัว และความเงียบสงบ ท่านสามารถมานั่งอ่านหนังสือ หลบร้อนมาพักผ่อนยามบ่าย สถานที่ว่านี้ คือ Arts Café ภายในห้องที่เต็มไปด้วยภาพวาดงานศิลปะ แขกสามารถมานั่งจิบกาแฟคาปูชิโน่ เอสเปรสโซ่ หรือจะสั่งเป็นน้ำตระไคร้ หรือน้ำขิงให้ชุ่มคอ พร้อมสั่งแซนวิส หรือคุ้กกี้มาทานก็ได้เช่นกัน
5. บนเรือ Silver Muse ยังมีเมนูอาหารที่เป็นไฮไลท์ นั่นก็คือ The Grill/Hot Rock เป็นมื้อดินเนอร์สุดพิเศษที่เรียกว่า Hot Rock ที่เสิร์ฟวัตถุดิบพรีเมียมบนหินลาวาที่มีอุณหภูมิถึง 400 องศา และสำหรับมื้อเที่ยงที่นี่จะเรียกว่า The Grill และมื้อค่ำจากถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Hot Rock นั่นเองค่ะ รสชาติอาหารถูกปรุงแต่งด้วยวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีเยี่ยม และมีเมนูที่หลากหลายให้แขกทุกท่านได้มาลองรับประทานกัน
6. บริการรูมเซอร์วิสจะมีอยู่บนเรือสำราญระดับไฮเอนด์ทุกลำค่า แต่ Silver Muse จะให้บริการที่มากกว่า โดยที่แขกทุกท่านสามารถสั่งอาหารว่างในยามดึก ไม่จำกัดการจัดส่งที่มีให้บริการเฉพาะในห้องนอนแต่สามารถจัดส่งได้แม้กระทั่งอยู่ในบริเวณพื้นที่สาธารณะ และมีให้บริการตลอดถึงแม้ว่าร้านอาหารเหล่านั้นจะปิดแล้วก็ตามการบริการที่เหนือความคาดหมายนั้น ย่อมเป็นที่ถูกใจของเหล่านักเดินทางระดับไฮเอนท์
ที่มา : https://www.yingpook.com/blogs/cruises/most-luxurious-cruises